ทำไม ยิ่งเข้าฤดูฝน ยิ่งต้องล้างรถ??
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน บางท่านอาจจะคิดว่าการล้างรถนั้น ไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวฝนตก รถก็กลับมาเปื้อนอีกเหมือนเดิม แต่จริงๆแล้วการล้างรถในฤดูฝนนั้นเป็นการดูแลรถที่สำคัญมาก หากปล่อยปละละเลย ให้รถสกปรกในหน้าฝน จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่ผิวรถจนอาจเกิดความเสียหายได้ และเพื่อเป็นการถนอมรถ มาดู เหตุผลที่เราควรต้องล้างรถในฤดูฝน กันค่ะ
เพื่อขจัดคราบฝังแน่น
เมื่อขับรถในฤดูฝน ก็จะมีเม็ดฝนเกาะติดมากับรถ และเมื่อเม็ดฝนนี้ระเหยแห้งไป จะก่อให้เกิดเป็นคราบน้ำที่บริเวณผิวรถ และคราบน้ำนี้จะยิ่งติดแน่นมากขึ้น หากเม็ดฝนระเหยแห้งภายใต้แสงแดด จะส่งผลให้การทำความสะอาดคราบน้ำออกจากผิวรถทำได้ยากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น หลังจากรถโดนฝนมาแล้ว ควรหาเวลาให้การล้างทำความสะอาดรถนะคะ
ป้องกันสีของรถเสียหาย
หลังจากที่รถโดนฝนมาแล้ว คราบรอยน้ำฝนที่ติดตามรถเหล่านี้ ถ้าหากใช้ไปนานๆเข้าโดยที่ยังไม่ล้าง อาจจะทำให้สีบริเวณนั้นปูดขึ้น จนสามารถลอกออกเป็นแผ่นๆ เพื่อเป็นการป้องกัน อย่างน้อยควรจะฉีดน้ำล้างน้ำฝนและสิ่งสกปรกออกไปก่อนที่จะแห้งติดผิวรถนะคะ
ขจัดเศษฝุ่น ดิน และ ใบไม้
นอกจากเม็ดฝนจะทำให้เกิดคราบน้ำแล้ว สิ่งสกปรกต่างๆที่มากับเม็ดฝน เช่น เศษฝุ่น เศษดิน และเศษใบไม้กิ่งไม้ เมื่อแห้งติดผิวรถก็ก่อให้เกิดคราบสกปรกที่ผิวรถได้เช่นเดียวกัน ควรรีบทำความสะอาดรถนะคะ ขอแนะนำว่าไม่ควรเช็ดรถด้วยผ้าแห้ง หลังจากที่รถเปียกฝนมาทันที เพราะคราบสกปรกที่ติดมากับน้ำฝน เมื่อเราเช็ดด้วยผ้าแห้ง อาจจะทำให้ผิวรถโดนขูดจาก เศษฝุ่น เศษดิน และเศษใบไม้กิ่งไม้ จนเป็นรอยได้ ควรฉีดล้างด้วยน้ำ ทำความสะอาด ก่อนเช็ดรถนะคะ
ลดความเสี่ยงการเกิดสนิม
การใช้รถขณะฝนตกนั้น เป็นการทำให้รถได้รับความชื้นอยู่เรื่อยๆ เพิ่มความเสี่ยงที่รถจะเกิดสนิมมากขึ้น และเนื่องจากน้ำฝนมีความเป็นกรด อาจส่งผลต่อสีรถ และชิ้นส่วนรถยนต์จนกระทั่งเกิดสนิมได้ เพราะฉะนั้น ฤดูฝนอาจต้องล้างรถบ่อยขึ้น เพื่อเป็นการถนอมรถให้รถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดนะคะ
เพื่อเป็นการถนอมรถ จึงไม่ควรปล่อยปละละเลยการล้างรถในหน้าฝนอย่างเด็ดขาด เพราะยิ่งรถสกปรกมากก็ยิ่งมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลมากขึ้น และหากเป็นไปได้ ควรจะทำการเคลือบสีรถด้วยก็จะยิ่งดีนะคะ เพราะ จะช่วยป้องกันคราบน้ำเกาะตามผิวรถ และยังช่วยให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วย ยิ่งเป็นการถนอมรถ ช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยิ่งขึ้นนะคะ