All New MAZDA MX-5 สปอร์ต Roadster ที่หลอมรวมผู้ขับและตัวรถเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด 25 ปี
ไม่บ่อยนักที่บ้านเราจะมีรถยนต์สไตล์สปอร์ตแท้ๆ ออกมาขายจากค่ายของตัวเองโดยตรง โดยไม่ผ่านผู้นำเข้าอิสระ ซึ่งจากที่เห็นอยู่ก็ไม่ค่อยมีตัวเลือกมากมาย ด้วยเหตุผลหลายอย่างเช่น รถเฉพาะกลุ่ม ราคาแพง ดูแลรักษาลำบาก ทำให้บ้านเราสะดวกไปทางรถบ้านๆ เสียมากกว่า แต่ถ้ามองรถพวกนี้แล้วต้องบอกว่าเป็นที่ชื่นชอบของคนอีกหลายคน โดยเฉพาะคนที่ชอบความเร็วและสนุกเวลาอยู่หลังพวงมาลัย และเชื่อว่า มาสด้า MX-5 ก็เป็นอีกคันที่อยู่ในกลุ่มของผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็นรถปอร์ตคันเล็กกว่ารุ่นอื่นๆ ในแบบเดียวกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนประทับใจกับเจ้าตัวเล็กคันนี้คือ ความสนุกที่ได้จากการขับขี่และทุกสัมผัสที่ได้จาก MX-5 คันนี้ และรถคันนี้ยังเปรียบเสมือนตัวตนของมาสด้าที่อยากถ่ายทอดออกมาจากอารมณ์ที่แท้จริง โดยเจ้า Roadster คันนี้ออกมาสู่ตลาดเป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 แล้ว และกลายเป็น long live roadster ที่ทำตลาดมายาวนานที่สุด เราทำการทดสอบในครั้งนี้บนเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวรถ นั่นก็คือเส้นทางในเขาใหญ่ ซึ่งมีทางคดเคี้ยวมากมายและธรรมชาติสวยงามเหมาะกับการขับ Roadster กินลมชมทุ่งหญ้าจริงๆ
รูปลักษณ์ภายนอก MX-5 ใหม่
ยังคงออกแบบตาม KUDO Design ดีไซน์ ที่เน้นเส้นสายแสดงความความเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า ทุกอย่างลงตัวด้วยความสวยเฉียบคม และมีจิตวิญญาณการเคลื่อนไหวแบบเสียชีต้าร์ แต่ก็กว่าจะได้ขนาดนี้ก็มีการปรับแก้ไขเรื่องการออกแบบและการขึ้นรูปอยู่หลายครั้ง ไฟหน้าเป็นแบบ LED ดุดัน รับกับกันชนและแก้มด้านข้าง และเส้นสายนี้ร้อยมาถึงกลางลำตัวและยาวไปถึงด้านท้าย ที่มีการขยายของซุ้มล้อด้านหลัง เพิ่มความเป็นสปอร์ตของรถคันนี้ได้อย่างดี ไฟเบรกด้านหลังเป็น LED U Shape ทรงกลม มองแล้วคล้ายๆ รถยุโรปเหมือนกัน และชุดล้อลาย 8 ก้านขอบ 17 นิ้ว พร้อมยาง 205/45/R17 แต่ถ้าใครมองว่าเล็กไปหน่อยก็สามารถขยับไปเล่นล้อใหญ่และยางหน้ากว้างกว่านี้ได้เหมือนกัน
ความเป็น Skyactiv-body ใน MX-5
เปลือกตัวถังของ MX-5 รุ่นใหม่หมดมีน้ำหนักลดลง เบากว่ารุ่นก่อนหน้า ในขณะที่รักษาความปลอดภัยการชนความแข็งแกร่ง และความเงียบ อยู่ในระดับดีเยี่ยม
– นอกจากการสร้างเฟรมที่ตรงและอย่างต่อเนื่องและหาความเหมาะสมของหน้าตัดชิ้นส่วนเฟรม การสร้างโครงสร้างเส้นทางรับหลายแรงที่ใช้ชิ้นส่วนขวางในระบบรองรับช่วยน้ำหนักในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งและความแข้งแรงของโครงสร้าง
– เฟรมหลักชิ้นบนที่ถูกใส่ในโมเดลก่อนหน้านี้ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มเติมและหน้าตัดของชิ้นส่วนได้ถูกเพิ่มขนาดให้ใหญ่
– หน้าตัดรูปกากบาทที่ถูกนำมาใช้เป็นชิ้นส่วนเฟรมด้านหน้าและทรงกระบอกกันกระแทก และหน้าตัดหมวกคู่สำหรับเฟรมข้างด้านหลัง ทำให้สามารถลดความหนาแผ่นโลหะลงได้
ดังนั้นเป้าหมายแรกชองมาสด้าในการออกแบบก็คือทำอย่างไรให้ได้สัดส่วนรถที่สวยงามลงตัว ส่งเสริมให้ผู้ที่ขับขี่ดูโดดเด่นและสง่างาม เหมาะสมต่อความยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์อันยาวนานของมาสด้าโรดสเตอร์ ในประเทศญี่ปุ่น รูปทรงพื้นฐานของมาสด้า MX-5 นั้นคือการส่งเสริมให้ผู้ขับขี่โดดเด่นเมื่อมองจากมุมบนและเปิดกระจกหน้าต่างลง ดังนั้น นักออกแบบและวิศวกรภายใต้โครงการนี้จึงทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบองค์ประกอบต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการวางที่นั่งช่วยให้ผู้ขับทิ้งน้ำหนักลงที่กึ่งกลางของร่างกายพอดี ทีมงานได้ออกแบบให้ห้องโดยสารเลื่อนไปด้านท้ายมากขึ้นเพื่อให้พอดีกับตำแหน่งศีรษะของผู้ขับ และตำแหน่งสะโพก ของที่เบาะที่อยู่ต่ำลงให้เหมาะกับดีไซน์ใหม่ของรถที่เน้นจุดศูนย์กลางต่ำ ด้วยการใส่ใจในทุกรายละเอียดให้ห้องโดยสารเป็นไปตามหลักการออกแบบรถสปอร์ตน้ำหนักเบาที่คำนึกถึงศูนย์กลาง เน้นดีไซน์ที่สวยงามเป็นพิเศษเมื่อเปิดประทุน เน้นตำแหน่งที่นั่งของผู้ขับและได้สัดส่วนอันสวยงามที่สะท้อนถึงความพึงพอใจและความอิ่มเอมใจที่ได้ขับรถมาสด้า MX-5
ภายในสปอร์ตเต็มคราบ Roadster
ทันทีที่ผมได้หย่อนสะโพกใหญ่ๆ ลงไปที่เบาะนั่งที่มีการออกแบบโครงสร้างแบบ S-Fit คือเกือบจะเป็น bucket Seat อยู่แล้ว แต่มีความสบายกว่าเวลานั่งขับ คือไม่เมื่อยนั่นล่ะ ถ้าคนไม่ชินล่ะก็รู้สึกอึดอัดไม่ใช่น้อย ภายในนั้นดูสปอร์ตมากขึ้น มีการเดินเส้นด้ายกับวัสดุต่างๆ ภายในเยอะขึ้นและที่ย้ำมาอย่างสำคัญคือ จุดที่เป็นโลหะนั้น จะใช้วัสดุโลหะจริงๆ ไม่ใช่พลาสติกชุบหรืออื่นๆ อันนี้ก็เพื่อความเนี๊ยบสุดๆ ของห้องโดยสาร ตลอดเส้นทางผมก็เพลินด้วยเครื่องเสียง Bose ที่มาพร้อมลำโพงให้มากถึง 9 จุด 4 ตัวที่ถูกฝังไว้หัวเบาะทั้งสองข้าง ทำงานควบคู่ไปกับระบบ MZD CONNECT ที่ทำให้การควบคุมการติดต่อสื่อสารนั้นง่ายดายขึ้น
เครื่องยนต์ Skyactiv –G 2.0 แรงม้าพอฟัด พอเหวี่ยง ไม่มากมาย…แต่ขับเพลิน
เครื่องยนต์ของตัว MX-5 นี้ หากมองเผินๆ จะดูเฉยๆ ไม่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ตามสเปคที่มีแรงม้าค่อนข้างน้อย ซึ่งอาจจะดูสวนทางกับตัวรถไปสักหน่อย แต่ทว่าความเป็นจริงของเครื่องยนต์ตัวนี้ไม่ได้เน้นเรื่องแรงอย่างเดียว หากแต่เน้นเรื่องความลงตัวทั้งเรื่องของการประหยัด น้ำหนักเหมาะสมกับตัวรถ แรงม้าและแรงบิดให้พอขับได้สนุกตามสไตล์ของมาสด้าที่ตั้งใจเอาไว้ น้ำหนักเสื้อสูบของเครื่องยนต์ (ไม่รวมชิ้นส่วนบาง อย่างเช่นท่อร่วมไอเสีย) ลดลงเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์MZR 2.0 ในรุ่นก่อนหน้านี้ ลดลงประมาณ 8 กิโลกรัม สำหรับเครื่องยนต์ Skyactiv –G 2.0
– ความหนาของวัสดุและรูปทรงของโครงเสื้อสูบถูกปรับให้เหมะสม
– รูปร่างจำเพาะถูกนำมาใช้สำหรับถ่วงเพลาข้อเหวี่ยงเพื่อให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม
เฟืองท้าย ซึ่งเฟืองท้ายได้ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัดมากขึ้นเป็นผลมาจากการเปลี่ยนเฟื่องวงแหวนตัวใหญ่สำหรับเกียร์ 6 ที่เป็นแบบขับตรง และการปรับขนาดเฟืองวงแหวนตัวใหญ่ให้รองรับปริมาณแรงแรงบิดที่ผลิตได้ การวิเคราะห์ด้วย คอมพิวเตอร์ช่วยในงานวิศวกรรม (cae) ถูกนำมาใช้เพื่อลดความหนาของเปลือกของเฟืองท้าย ซึ่งในรุ่นนี้ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม ในขณะที่ยังคงความแข็งแรงและคุณลักษณะสมรรถนะของ NVH นอกจากนี้ เฟืองท้ายของรถเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ยังช่วยลดน้ำหนักลงได้โดยประมาณ 7 กิโลกรัม
ลักษณะจำเพาะโดยหลักของเครื่องยนต์
Skyactiv –G 2.0 แถวเรียง4สูบ 16 วาล์ว รูปแบบ Skyactiv –G 2.0 แถวเรียง4สูบ 16 วาล์ว
ปริมาตรกระบอกสูบ 1998 ซีซี เส้นผ่านศูนย์กลางกระบอนสูบ * ระยะชัก 85.5*91.2 อัตราส่วนการอัด 13.0:1 กำลังสูงสุด 160แรงม้า ที่ 6,000รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 200นิวตันเมตร ที่ 4,600 รอบต่อนาที
ความด้านทานในระบบไอดีและระบบไอเสียลดลง จากท่ออากาศบริสุทธิ์ผ่านหม้อพักไอเสีย ระบบไอดี และไอเสียใหม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นเฉพาะ MX-5 เจเนอเรชั่นใหม่ ความพยายามทั้งหมดคือการสร้างให้มีน้ำหนักเบา การออกแบบที่กะทัดรัดมากขึ้น ลกแรงต้านทานการไหลของอากาศและดึงศักยภาพทั้งหมดของสมรรถนะของเครื่องยนต์ออกมา
– ระบบไอดีประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักลงประมาณ 30% เทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้
– ท่อนำอากาศใหม่ถูกรวมอยู่ในท่ออากาศบริสุทธิ์ใช้อากาศที่เป่ามาจากพัดลมไฟฟ้าเพื่อเอาความร้อนออกจากไอเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเพิ่มชิ้นส่วนใดๆสิ่งนี้ป้องกันประสิทธิภาพในการดูดไอดีลดลงเนื่องจากความร้อน
– โครงสร้างของท่อร่วมไอเสีย 4-2-1 ได้รับการออกแบบใหม่สำหรับ MX-5 ในรูปแบบของรถขับเคลื่อนล้อหลังและความยาวโดยรวมของระบบไอเสียได้ถูกออกแบบอย่างเหมาะสม การทำให้คลื่นความดันจากการเผาไหม้มีความสมดุลทำให้ได้แรงบิดในอุดมคติ ขณะที่ยังช่วยเน้นปริมาณไอเสียที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ
ระบบช่วงล่างมีการปรับปรุงใหม่
ในขณะที่ยังคงใช้ปีกนกสองชั้นสำหรับระบบรองรับด้านหน้าเหมือนทุกรุ่นก่อนหน้า ระบบรองรับใหม่ได้รับการพัฒนาสำหรับ MX-5 เจเนอเรชั่นใหม่พร้อมกับเป้าหมายของการสร้างระบบที่แข็งแกร่งสูงและน้ำหนักเบา ความพยายามมุ่งไปสู่การหาลักษณะรูปทรงเรขาคณิตที่สามารถเลี้ยวเข้าโค้งอย่างเหมาะสมและเถียรเมื่อเบรกในโค้ง ในส่วนของด้านหลังก็ยังเป็นแบบมัลติลิงค์เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ก็ได้มีการพัฒนาและปรับแต่งนิดหน่อยให้เข้ากับโครงสร้างของตัวรถในรุ่นนี้ ซึ่งก็จะได้ผลของการขับขี่ดังนี้
– ความสามารถในการเลี้ยวเข้าโค้งที่ดีขึ้น : มุมคาศเตอร์ของระบบรองรับด้านหน้าได้เปลี่ยนไปเป็น 8 องศาจาก 7องศาของรุ่นก่อนหน้านี้ ผลกระทบของมุมแคมเบอร์ที่เป็นค่าลบเมื่อเลี้ยวโค้งปรับปรุงสัดส่วนและลดปริมาณ อันเดอร์สเตียร์ ทำให้ทราบถึงคุณลักษณ์ในการครบคุมที่เป็นเลิศเมื่อเลี้ยวโค้ง
– เสถียรภาพดีขึ้นเมื่อเบรก : ระบบรองรับด้านหน้าใช้ค่าออฟเชตของมุมคิงพิงที่เป็นลบ สร้างคุณลักษณะที่ช่วยให้การปรับปรุงการหมุนพวงมาลัยได้ละเอียดในทิศของการเคลื่อนที่ รักษาพฤติกรรมเมื่อรถเบรก แม้จะอยู่ในสถานการณ์เมื่อ ค่าสัมประสิทธ์ความเสียดทานผิวสัมผัสสำหรับด้านซ้ายและด้านขวาของล้อที่เบรกแตกต่างกันและมีแนวโน้มที่รถจะหมุน
เรามาดูความต่างของสัดส่วน MX-5 ในแต่ละเจเนอเรชั่นที่ผ่านมาและล่าสุด
ความยาวรวม ความกว้างรวม ความสูงรวม ฐานล้อ
MX-5รุ่นใหม่หมด 3,915(-105) 1735(+15) 1235(-10) 2310(-20)
MX-5รุ่นสาม 4,020(+65) 1720(+40) 1245(+10) 2330(+65)
MX-5รุ่นสอง 3,955() 1680(+5) 1235() 2265()
MX-5รุ่นแรก 3,955 1675 1235 2265
ขนาดมิติของรถเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (หน่วย มิลลิเมตร)
ค่าที่แสดงเป็นรถของรถ MX-5 ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น (ความแตกต่างเทียบกับรุ่นก่อนหน้า)
หลังจากที่ทดลองขับแล้วพอจะสรุปได้ว่า มาสด้า MX-5 ใหม่นั้น ลงตัวที่สุดคือเรื่องสมดุลของน้ำหนักระหว่างตัวรถและผู้ขับขี่ ทำให้รถคันนี้ ขับสนุกมาก ซึ่งคำว่ามากของผมมันไม่ได้แปลว่าต้องแรง แต่มันกลายเป็นรถสปอร์ตที่เกิดความลงตัวที่สุดในการสมดุลน้ำหนัก ซึ่งส่งผลทำให้สามารถควบคุมตัวรถได้ง่าย ขับง่ายใครๆ ก็ขับได้ไม่ยาก จังหวะเกียร์ดี มีการเปลี่ยนนุ่มนวลต่อเนื่อง แต่จะเป็นเรื่องดีมากๆ ถ้ารถรุ่นนี้มีเกียร์ธรรมดามาขายในไทยรองรับให้สำหรับผู้ที่ต้องการความดิบของ Roadster แบบนี้ เรื่องของความกระด้างน้อยกว่ารุ่นก่อนๆ อัตราเร่งของเครื่องยนต์พอวัดวาได้ ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่น่าเกลียด เพราะความดิบที่น้อยลงจากรุ่นที่ผ่านๆ มา แต่ก็ยังไม่หนีความเป็น Roadster ตามสไตล์ของมาสด้า ที่ต้องการใช้รถรุ่นนี้สื่อถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงนั่นเอง.
*** ราคาจำหน่าย 2,700,000 บาท ***
IMAGE GALLERY