HONDA BR-V สปอร์ตครอสโอเวอร์เอสยูวี น้องใหม่สุด แต่น่าสนใจสุด
อยากรู้ต้องลอง…แล้วจะรู้ว่ามันส์สุด !
ต้องบอกว่าตลาดของรถประเภท SUV ในบ้านเราเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งดูจากหลายปีที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้นมากยอดเมื่อปี 2015 อยู่ที่ 56,000 คัน ซึ่งเราต้องเทียบสัดส่วนของ SUV กับตลาดรถยนต์นั่งทั้งหมดว่าเป็นเท่าไหร่ ปี 2014 สัดส่วนอยู่ที่ 10 % ปี 2015 อยู่ที่ 16 % โดยก่อนหน้านี้แทบจะไม่ถึง 10 % เลยด้วยซ้ำ และคาดกว่าจะเติบโตกว่านี้ด้วยหลายหลากของรถ SUV จากหลายๆ ค่ายที่กำลังเข้ามาขายในบ้านเรา กลับมาในส่วนของ HONDA ที่ตอนนี้มี SUV มากมาย คงจะต้องเริ่มกันตั้งแต่ CR-V , HR-V และล่าสุดที่เราได้ทดสอบกันคือ BR-V โดยรถเหล่านี้ถูกพัฒนามาเพื่อการตอบสนองที่หลากหลายยิ่งขึ้น แล้วมันมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งหลายคนมีขีดจำกัดในการเลือกรถยนต์ประจำบ้าน เนื่องจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะเรื่องราคาค่าตัวของรถยนต์นั่นเองก็ถือเป็นเรื่องใหญ่
หลายคนตั้งคำถามว่า BR-V เกิดมาเพื่ออยู่ในตำแหน่งไหน เพราะรุ่นพี่ รุ่นน้องในค่ายดูเผินๆ แล้วก็ตอบโจทย์ของลูกค้าได้ทั้งหมดอยู่แล้ว การเพิ่มน้องใหม่คันนี้มามันจะทับไลน์กันเองไหม ? ตัวผมเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน เมื่อตอนครั้งแรกที่เห็น หากดูไปแล้วน่าจะใกล้เคียงกับ MOBILIO ซะด้วยซ้ำไป โดยก่อนหน้านี้ทางฮอนด้าเองก็เปิดรถรุ่นนี้มีแนวทางนำเสนอคล้ายๆ กันเลย มันก็จะตอบอะไรไม่ได้มาก ถ้าหากไม่ได้มาลองขับด้วยตัวเอง ถึงจะเข้าใจว่าฮอนด้าต้องการทำรถที่มีลักษณะคล้ายๆ กันแบบนี้ออกมาทำไมกันหลายๆ รุ่น เดี๋ยวเราค่อยๆ สรุปไปเรื่อยๆ ล่ะกันนะ…
หน้าตาคือสิ่งที่น่าสนใจเป็นอันดับแรก รถคันนี้ผมรู้สึกชอบภายนอกเป็นพิเศษ ด้วยหน้าตาที่ออกแบบมาบึกบึน ซึ่งอารมณ์แข็งๆ แบบนี้ห่างหายไปจากฮอนด้าพอสมควร ที่ผ่านมาจะเป็นแบบโฉบเฉี่ยวล้ำๆ ไปหน่อย แต่ไม่เข้าตาช่วงลำตัวกลางเนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับ MOBILIO อยู่พอควรถ้ามองจากเส้นสายของประตูทั้งสี่บาน แต่ทั้งหมดก็มีที่มาของการออกแบบรถคันนี้ Active Solid Motion คือแนวคิดในการออกแบบรูปทรงภายนอกของเจ้า BR-V คันนี้ สะท้อนความแข็งแกร่ง ทรงพลัง ด้วยตัวถังด้านหน้า และช่วงล่างที่ยกสูง ในสไตล์รถเอสยูวี เสริมด้วยการออกแบบไฟหน้าและกระจังหน้าแบบโครเมียม ภายใต้แนวคิด Solid Wing Face สะท้อนให้เห็นถึงความโฉบเฉี่ยวและกว้างขวาง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฮอนด้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่แบบ LED และไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์รูปตัว C ด้วยการใช้เส้นสายที่ต่อเนื่อง จึงทำให้ตัวรถดูกว้างขึ้น ในส่วนของราวหลังคาสไตล์สปอร์ต (Roof Rail) ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งตัวนี้สามารถรับภาระในการขนของได้ถึง 30 กิโลกรัม และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195 /60 R16 ซึ่งดูเหมาะกับรถไซด์และเครื่องยนต์ขนาดนี้ แต่ถ้าจะเอาสวยๆ กว่านี้ในแบบ SUV ก็ต้องเติมล้อใหญ่กว่านี้ให้เต็มซุ้มหน่อยน่าจะเข้ากรรมการไม่ใช่น้อย ในส่วนของความสูงของตัวรถ มีระดับความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 201 มม. เพื่อให้เป็นในสไตล์ของ SUV มากขึ้น
ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวออร์คิด (มุก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก)
สีดำคริสตัล (มุก) และ 2 สีใหม่ คือ สีน้ำตาลพรีเมียมแอมเบอร์ (เมทัลลิก) และสีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)
ครั้งแรกที่หย่อนก้นลงเบาะคู่หน้าของ BR-V แล้วเริ่มสำรวจภายในทั่วไปนั้น มีการออกแบบที่เรียบง่ายได้ใจความ กล่าวคือคอนโซลหน้าไม่ได้ถูกออกแบบให้ดูหวือหวามากนัก อาจเป็นเพราะต้องการเติมกลิ่นไอของ SUV ลงไป ในส่วนของสองรุ่นนั้นมีความแตกต่างกันนิดหน่อย สรุปย่อๆ เลยนะ ตัวของรุ่น V 5 ที่นั่งจะเป็นแบบเบาะผ้า ไม่มีราวแอร์ด้านหลัง พวงมาลัยเป็นแบบฉีดขึ้นรูปธรรมดา หน้าจอตรงกลางเป็นแค่วิทยุธรรมดา ไม่มีกล้องมองด้านหลังเลยต้องตัดเรื่องการเชื่อมต่อความบันเทิงจากมือถือ Smart Phone ของคุณออกไป ไม่มีช่อง HDMI กระจกมองข้างไม่ได้พับไฟฟ้า ไม่มีระบบล๊อคประตูอัตโนมัติ และไม่มีระบบไฟตัดหมอกคู่หน้า ซึ่งในส่วนของเบาะนั่งเป็นแบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยพื้นที่อเนกประสงค์ด้านท้ายขนาดใหญ่ เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น มาพร้อมถาดรองสัมภาระท้ายรถและกล่องอเนกประสงค์ใต้เบาะนั่งแถวที่ 2
และในส่วนของรุ่น SV มาพร้อมเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง มอบสัมผัสอีกระดับของการเดินทางด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งสบายทุกตำแหน่ง โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับพับแยก 60:40 พนักพิงปรับเอนได้ถึง 2 ระดับ สามารถปรับเลื่อนหน้า-หลัง เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารแถวที่ 3 เข้า-ออกได้สะดวกยิ่งขึ้น เบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง พนักพิงสามารถพับแยกแบบ 50:50 หรือพับตลบไปด้านหน้า 2 จังหวะ เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายที่ลงตัวทุกการใช้งาน สะดวกสบายด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง เพื่อกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง แต่ในส่วนของรุ่น V มาพร้อมเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยพื้นที่อเนกประสงค์ด้านท้ายขนาดใหญ่ เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น มาพร้อมถาดรองสัมภาระท้ายรถและกล่องอเนกประสงค์ใต้เบาะนั่งแถวที่ 2
นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารของฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่น ยังได้รับการออกแบบให้มาพร้อมความสะดวกสบายที่ครบครัน เช่น มาตรวัดเรืองแสงสีขาว พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด ช่องจ่ายไฟสำรอง ที่วางแก้วน้ำมากถึง 11 ตำแหน่ง ไฟภายในห้องโดยสาร
2 ตำแหน่ง แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าและกระจกมองหลังแบบตัดแสง
เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน ที่ 4,700 รอบต่อนาที และระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เต็มประสิทธิภาพ นุ่มนวล ในทุกเส้นทาง ให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม ทั้งยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 ลองนั่งคิดๆ ดูเครื่องยนต์ตัวนี้ถูกประจำการมาหลากหลายรุ่นมากมาย เอาเป็นว่าเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ของฮอนด้านั้นเป็นรหัส L15 ทั้งหมด แต่มีการปรับเปลี่ยนให้ถูกโฉลกกับโครงร่างที่จับมาคู่กันนั่นเอง ผมเองคิดมาตลอดว่าทำไมถึงไม่ยอมจับเครื่องยนต์ใหญ่ๆ ใส่ลงไปนะ 1.8 ลิตรก็ยังดี กลัวไปเองว่ามันอาจจะอืดไปไม่ไหวยิ่งรถทำออกมาแนวนี้ด้วยแล้ว ถ้าไม่มีแรงนี่ถือว่าจบกันเลย คำตอบมันก็ออกมาตอบขับนี่ล่ะ L15 ต้องยอมรับว่าเป็นเครื่องเทพฯ มากของฮอนด้า ถ้าใครอยู่สายรถซิ่งก็น่าจะรู้ดีว่าผมไม่ได้พูดโอเวอร์หรือเชียร์เกินความเป็นจริง เอาเป็นว่าพออยู่ใน BR-V ก็เป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง ถ้าคุณจะห่วงเรื่องอืดยืดยาด อันนี้ตัดทิ้งไปเลย เครื่องยนต์ขับสนุกมาก แต่บางจังหวะเครื่องยนต์ก็ใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงเช่นเดียวกันแบบไม่จำเป็น ซึ่งน่าจะเกิดจากการทำงานร่วมกับชุดเกียร์ที่ต้องการเรียกแรงบิดอย่างสม่ำเสมอ ขอไม่พูดถึงเครื่องยนต์มากมายนะเพราะมันความรู้สึกเดียวกันหมดกับหลายๆ รุ่น เอาเป็นว่าขับดีและขับสนุกล่ะกัน ซึ่งมันก็ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ CVT ตัวใหม่ ที่กดปุ๊ปติดตีนทันที ไม่ค่อยมีจังหวะเอ๋อๆ เหมือนเกียร์จากค่ายอื่นๆ โดยจะเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ให้อัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ตอบสนองทุกการขับขี่ และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้น อัตราทดเกียร์ที่กว้างจะช่วยทำให้การขับเคลื่อนมาพร้อมกับแรงบิดที่สูงกับรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง ช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมัน ขณะเดียวกัน อัตราทดเกียร์ที่กว้างขึ้นนี้ ยังช่วยเพิ่มกำลังในช่วงเร่งขณะออกตัว ระบบควบคุมการทำงานสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำภายใต้การขับขี่หลากหลายรูปแบบ สำหรับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในการทดสอบนั้นเป็นทางขึ้นลงภูเขาและรถมีการขับขี่กันหลายคนซึ่งจะจับอัตราแม่นๆ ก็คงทำได้ยากมาก แต่ถ้าดูตามสเปคนั้นรถคันนี้สามารถประหยัดได้ถึง 16 กม/ลิตรเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเติมน้ำมันได้ตั้งแต่ E85 ขึ้นไป ส่วนน้ำมันที่ใช้ทดสอบในทริปนี้ สอบถามแล้วจะใช้เป็นแก๊สโซฮอล์ 91 สำหรับผมถือว่าประหยัดระดับหนึ่งเลย
กลุ่มทดสอบได้เลือกใช้เส้นทางที่เหมาะสมกับตัวรถ นั่นคือความคล่องตัวในเมือง ซึ่งที่เชียงใหม่นั้นมีเส้นทางซอกซอยเยอะพอสมควรและทางยาวแบบลาดชันบางจังหวะ ซึ่งเราก็เดินทางออกนอกเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 118 มุ่งสู่ดอยสะเก็ด ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกเฉยๆ กับรถคันนี้ เพราะขับในเมืองก็ดูปกติดีเหมือนรถทั่วไป จะมีต่างก็เรื่องความสูงของตัวรถจากพื้นซึ่งก็ยังให้ความรู้สึกแบบรถยนต์นั่งทั่วไปอยู่ดี แต่ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากที่สดโค้งไปได้สักระยะบนเส้นทางขึ้นเขา ความรู้สึกนี้มันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้แล้ว การเซ็ทอัพช่วงล่างของรถคันนี้มันเหมาะสมกับตัวรถอย่างมากและไม่คิดว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีขนาดนี้ พวงมาลัยที่มีน้ำหนักเบาคล่องตัวควบคุมได้ง่าย เหมาะสำหรับคนไม่ชอบพวงมาลัยหนักๆ แต่ถ้าสำหรับผมแล้วถือว่าเบาไปนิดนึง แต่ถ้าใช้ทั่วไปสำหรับคนทั่วก็ถือว่าเป็นพวงมาลัยที่มีน้ำหนักกำลังดี อาการของตัวรถเวลาเข้าโค้ง มีความนิ่งและเกาะถนนมากพอสมควรจนคุณคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดกับรถคันนี้ได้เลย ถ้าดูจากรูปร่างและส่วนประกอบอื่นๆ แล้ว ระบบซับแรงกระแทกกำลังดีกระด้างนิดๆ ตามสไตล์ของฮอนด้า แต่ก็เหมาสมกับรถสไตล์ SUV แบบนี้ เพราะมันค่อนข้างที่ควบคุมอาการรถได้ง่ายทีเดียว ผมคงไม่ได้ชมรถคันนี้มากเกินไปนะครับ แต่ถ้าเทียบกับหลายๆ ตัวที่ผ่านมา ความรู้สึกผมมองว่าขับดีกว่า HR-V ด้วยซ้ำไป ถ้าเทียบกับองค์ประกอบทุกอย่างของรถแล้วนะ เราลองดูว่าช่วงล่างคันนี้ฮอนด้าได้ใส่อะไรลงไปบ้าง
ในส่วนของระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ทำให้นุ่มนวล และการทรงตัวที่ดีเยี่ยม ทั้งการยึดเกาะถนน การเข้าโค้ง พร้อมได้รับการออกแบบมุมล้อสำหรับรถยกสูงสไตล์ SUV ให้มีการทรงตัวที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะการยึดเกาะถนนในการขับขี่ทางตรง และระบบช่วงล่างตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความสนุกในการขับขี่ และในส่วนของด้านหลังนั้นเป็นแบบคานบิดและคานสปริงได้รับการพัฒนาสำหรับรถยกสูงสไตล์ SUV ส่วนแดมเบอร์ด้านหลังได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับตัวรถ มอบการทรงตัวและการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมและมีความนุ่มนวล
ฮอนด้า บีอาร์-วี มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยที่ครบครันในทุกรุ่น
ถุงลมคู่หน้า SRS ถุงลมคู่หน้า ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องและลดอาการบาดเจ็บของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า เมื่อเกิดการชนจากด้านหน้า โดยได้ผ่านการทดสอบชนการชนมาแล้ว ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ การทดสอบการชนทางด้านหน้าแบบเต็มหน้า ที่ความเร็ว 55 กม./ชม. การทดสอบการชนด้านหน้าแแบบครึ่งหน้าหรือ Offset ที่ความเร็ว 64 กม./ชม. การชนทางด้านข้าง ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. และการชนทางด้านท้าย ที่ความเร็ว 50 กม./ชม. เพื่อการปกป้องทุกชีวิตภายในห้องโดยสารได้อย่างสูงสุด
เข็มขัดนิรภัย 3 จุด แบบดึงกลับอัตโนมัติ (Emergency Locking Retractor – ELR) ในฮอนด้า บีอาร์-วี มีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด เป็นมาตรฐานในทุกที่นั่ง เมื่อมีการตรวจสอบและพบว่ามีการชนทางด้านหน้า เข็มขัดจะทำงานเพื่อดึงรัดให้สรีระอยู่ในตำแหน่งปลอดภัยที่สุดทันที จากนั้นจึงค่อยๆ คลายตัวลงเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บจากการทำงานของระบบเข็มขัด โดยเฉพาะในส่วนบริเวณหน้าอก โดยระบบได้รับการออกแบบมาให้ทำงานสอดคล้องกับระบบการทำงานของถุงลมนิรภัย SRS เพื่อประสิทธิภาพการปกป้องอย่างสูงสุด
ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบป้องกันล้อล็อก ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ล้อรถยนต์ล็อกในขณะที่มีการเบรกกะทันหัน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถและหักพวงมาลัยหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้า ขณะที่ระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ จะทำหน้าที่ในการกระจายแรงเบรกระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง ให้ความสมดุลกับน้ำหนักในการบรรทุกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก
ระบบควบคุมการทรงตัว (Vehicle Stability Assist – VSA) เป็นระบบที่ช่วยในการยึดเกาะถนน เพื่อการทรงตัวที่มั่นคงในทุกการขับเคลื่อน การทำงานของระบบ VSA คือ การส่งแรงดันน้ำมันเบรกอย่างอิสระไปที่เบรกของล้อข้างใดข้างหนึ่งหรือมากกว่านั้น ขณะที่มีการผลิตกำลังของเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้ตัวรถถูกควบคุมและทรงตัวอยู่บนเส้นทางที่ผู้ขับขี่ต้องการ
ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่ออยู่บนทางชัน ในขณะที่รถหยุดบนทางลาดชัน ระบบ HSA จะสั่งการโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันรถยนต์ไม่ให้ไหลลงจากทางลาดชันในขณะที่ผู้ขับขี่กำลังเปลี่ยนจากการเหยียบแป้นเบรกเป็นคันเร่งเพื่อออกตัว โดยทำงานร่วมกับระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับการหมุนของล้อและพวงมาลัย ระบบเบรกจะคลายตัวในจังหวะที่ผู้ขับขี่กดคันเร่งเพื่อให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้า เพื่อมอบการขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
กล้องส่องภาพด้านหลัง (Rearview Camera) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย ในจังหวะที่เกียร์ถูกเปลี่ยนมาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง (ตำแหน่งเกียร์ R) เพื่อความสะดวกสบายและเพิ่มความมั่นใจในขณะถอยหลัง
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX) ถือเป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับการใช้เบาะที่นั่งเด็กในรถยนต์ มอบความสะดวกสบายและใช้งานง่ายโดยเบาะที่นั่งจะถูกยึดรั้งได้โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัยหรือตัวล็อกใดๆ
สรุปว่า…รถคันนี้ฮอนด้าสร้างมาเพื่อกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลายในการใช้ชีวิต เป็นเอสยูวีในระดับซัพคอมแพคท์ ซึ่งอาจจะเป็นคนที่ต้องการใช้รถที่มีพื้นที่ในการขนของ หรือมีงานที่ต้องใช้การขนส่งเล็กๆ และกิจกรรมตามสไลต์ที่ต้องการ ซึ่งอยากได้รถที่ลุยๆ หน่อยไปได้ทุกที่ ซึ่งรถยนต์นั่งทั่วไปอาจจะใช้งานได้ไม่เต็มที่ ยกตัวอย่างง่ายๆ คนที่ชอบปั่นจักรยานก็สามารถลุยเข้าไปในพื้นที่อื่นได้มากกว่าทางเรียบๆ หรือแม้แต่คนที่เริ่มประกอบธุรกิจเล็กๆ มีร้านขายของทั่วไปตามแหล่งช็อปปิ้ง ต้องการรถขนของที่มากกว่ารถเก๋งและไม่ใหญ่เกินไปแบบรถกระบะ ซึ่งอย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่าเรื่องราคาก็นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายในการเลือกรถยนต์สักคันที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง สำหรับ BR-V ผมว่าเหมาะกับคนที่เบื่อรถเก๋งและไม่ได้อยากได้รถใหญ่ๆ แต่ก็ต้องสามารถลุยไปได้ทุกที่ แค่นี้ผมว่ามันก็ตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้ได้ระดับหนึ่งแล้ว สำหรับความรู้สึกผมในภาพรวมทั้งหมดของ BR-V บอกเลยคำเดียวว่า…ติดใจครับ
ฮอนด้า บีอาร์-วี มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่
• รุ่น SV ราคา 820,000 บาท
• รุ่น V ราคา 750,000 บาท
IMAGE GALLERY